การทำสีสแตนเลสด้วยวิธีเคลือบผิวด้วยความร้อน (thermal coloring)

เคลือบผิวด้วยความร้อน (thermal coloring หรือ heat tinting)

การเคลือบผิวด้วยความร้อน (thermal coloring หรือ heat tinting) บนสแตนเลสเป็นวิธีการที่ใช้ความร้อนเพื่อสร้างผิวที่มีสีต่าง ๆ บนเหล็กกล้าไร้สนิม (สแตนเลส). การเปลี่ยนสีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดการเปลี่ยนแปลงในฟิล์มผิวที่บนเหล็กระหว่างการร้อน.

เมื่อสแตนเลสถูกให้ความร้อนในระดับที่ต่างกัน, ฟิล์มผิวที่เกิดขึ้นจะมีความหนาแน่นแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้มีสีที่แตกต่างกัน:

ฟ้า – อุณหภูมิประมาณ 290°C (554°F)

น้ำเงิน – อุณหภูมิประมาณ 300°C (572°F)

น้ำเงินเข้ม – อุณหภูมิประมาณ 310°C (590°F)

ส้ม – อุณหภูมิประมาณ 320°C (608°F)

เหลืองแดง – อุณหภูมิประมาณ 330°C (626°F)

รูปจาก Wiki https://en.wikipedia.org/wiki/Tempering_%28metallurgy%29

การใช้ความร้อนในการเคลือบสีสแตนเลสสามารถทำได้ทั้งในสภาพแบบต่อเนื่องหรือสภาพแบบจุดๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบและความต้องการของผลิตภัณฑ์.

อย่างไรก็ตาม, ควรระวังในการใช้ความร้อนเพื่อเคลือบสี เนื่องจากสแตนเลสบางประเภท (เช่น 304 หรือ 316) อาจสูญเสียความต้านทานต่อการกัดกร่อนหากได้รับความร้อนสูงเกินไป.

นอกจากนี้, หลังจากการให้ความร้อน, ควรทำการล้างและทำความสะอาดผิวเพื่อลบฟิล์มที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ ทำให้ผิวกลับสู่สภาพปกติทางเมคานิกและเคมี.

วิธีการเผา เผื่อให้ได้สีสแตนเลสตามต้องการ https://www.youtube.com/watch?v=1vq5FWKJu7s&ab_channel=KiwiFighter

ข้อดีการทำสีสแตนเลสด้วยวิธีเคลือบผิวด้วยความร้อน:

ไม่ต้องใช้สารเคมี: ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือวัสดุเสริมเพื่อทำสี, ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ทำงานมากขึ้น.

ความหลากหลายของสี: สามารถผลิตสีต่าง ๆ ได้โดยการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ.

ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ: ในการเปลี่ยนสีสแตนเลส อาจไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษมากนัก โดยเฉพาะถ้าเป็นการทำสีในพื้นที่ที่ไม่ใหญ่.

เป็นการวิธีที่ใช้ได้กับหลายชนิดของสแตนเลส: สามารถใช้ได้กับสแตนเลสหลายชนิด.

ข้อเสียการทำสีสแตนเลสด้วยวิธีเคลือบผิวด้วยความร้อน:

ความทนทาน: สีที่ได้จากการทำสีด้วยความร้อนอาจไม่ทนทานเมื่อเทียบกับการเคลือบสีด้วยวิธีอื่น ๆ หากต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง.

การกัดกร่อน: ความร้อนอาจทำให้สแตนเลสบางชนิดเสื่อมคุณภาพ โดยเฉพาะสแตนเลสชนิด 304 และ 316 อาจสูญเสียความต้านทานต่อการกัดกร่อนหากได้รับความร้อนสูงเกินไป.

ควบคุมความร้อน: ต้องมีการควบคุมความร้อนอย่างละเอียดเพื่อให้ได้สีที่ต้องการ ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้อุปกรณ์และเทคนิคที่มีความซับซ้อน.

สีอาจไม่สม่ำเสมอ: หากไม่มีการควบคุมอุณหภูมิอย่างเคร่งครัด, สีที่ได้จากการทำสีด้วยความร้อนอาจไม่สม่ำเสมอทั่วผิว.

การทำความสะอาด: หลังจากการทำสีด้วยความร้อน อาจต้องทำการล้างและทำความสะอาดผิวเพื่อลบฟิล์มที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความระมัดระวัง.

ในการตัดสินใจใช้วิธีการทำสีด้วยความร้อน, ควรพิจารณาความต้องการของผลิตภัณฑ์ ลักษณะการใช้งาน และสภาพแวดล้อมที่ผลิตภัณฑ์จะถูกนำไปใช้งาน.